บันทึกลับของ
ทนายสายดาร์ค
จากเรื่องจริง และสิ่งที่ไม่มีสอนกันในคณะนิติศาสตร์ใด
โดย ก้าว อุดรเทวะ
เรื่องสั้นแนวอาชญากรรม:

บันทึกลับของทนายสายดาร์ค (Memoir of a Dark-side Lawyer)

เผยแพร่เป็นอีบุ๊คครั้งแรก: สิงหาคม 2568
ผู้เขียน: ก้าว อุดรเทวะ
จัดทำโดย: สำนักกลยุทธ์และกฎหมาย ๙ ดาวเหนือ (www.9daonua.com)


"ผู้ใดที่ต่อกรกับอสูรร้าย จงระวังอย่าให้ตนเองกลายเป็นอสูรร้ายเสียเอง และหากเจ้าจ้องมองเหวลึกนานพอ เหวลึกนั้นก็จะจ้องมองกลับมาหาเจ้าเช่นกัน"
"Whoever fights monsters should see to it that in the process he does not become a monster. And if you gaze long enough into an abyss, the abyss will gaze back into you."
— ฟรีดริช นิทเชอ (Friedrich Nietzsche)

1

อารัมภบท
ผมชื่อภพ... ทนายภพ ไม่สิ นั่นมันชื่อที่คนทั่วไปรู้จัก ชื่อที่สื่อมวลชนใช้เรียกขาน ชื่อที่ลูกความผู้สิ้นหวังเรียกหาเป็นที่พึ่งสุดท้าย ชื่อที่ศัตรูต้องกัดฟันกรอดด้วยความแค้น แต่สำหรับผมแล้ว “ภพ” เป็นเพียงฉากหน้า เป็นหน้ากากที่ผมสวมใส่เพื่อเดินบนเส้นทางที่ผมเลือก เส้นทางที่พาผมจากก้นบึ้งของความยากไร้ สู่จุดสูงสุดของอำนาจและเงินตรา และในที่สุด... สู่โลกมืดที่ผมเองก็ไม่เคยคิดว่าจะได้สัมผัส
ชีวิตของผมเป็นเหมือนคดีความที่ซับซ้อนที่สุดคดีหนึ่ง มีพยานหลักฐานที่บิดเบือน มีเจตนาที่ซ่อนเร้น มีมาตรากฎหมายที่ถูกตีความอย่างพลิกแพลง และมีบทสรุปที่ไม่มีใครคาดเดาได้ ผมเคยเชื่อในความยุติธรรม เคยศรัทธาในกฎหมาย... เคยเชื่อว่ามันคือแสงนำทางที่จะนำความเท่าเทียมมาสู่โลกใบนี้ แต่โลกใบนี้สอนให้ผมรู้ว่า กฎหมายเป็นเพียงเครื่องมือ เป็นอาวุธคมกริบที่ใช้ได้ทั้งเพื่อปกป้องและทำลาย ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้ถือมันอยู่ในมือ และมีแรงจูงใจอะไรอยู่เบื้องหลัง
นี่คือเรื่องราวของผม เรื่องราวของทนายความผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยยืนอยู่บนเส้นแบ่งอันพร่ามัวระหว่างความดีกับความชั่ว ก่อนจะก้าวข้ามเส้นนั้นไปอย่างไม่หวนกลับ นี่คือ "ความลับของทนายสายดาร์ค" ที่คุณไม่เคยรู้... และอาจจะไม่อยากรู้

2

บทที่ 1
เด็กชายริมคลอง กับรากฐานแห่งความฝัน
ชีวิตของผมเริ่มต้นที่กระท่อมไม้เก่าๆ ริมคลองเล็กๆ ในสมุทรสาคร กลิ่นคาวปลาเค็มและน้ำทะเลคลุ้งอยู่ในอากาศตลอดเวลา นั่นคือโลกทั้งใบของผมในวัยเด็ก ผมจำได้ดีถึงพื้นดินลูกรังหน้าบ้านที่เต็มไปด้วยฝุ่นแดงจับตาเมื่อยามหน้าแล้ง และโคลนเหนียวหนืดที่ดูดเท้าจมเมื่อยามฝนพรำ มันเป็นภาพที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำ: ดินปนทรายที่แห้งผากจนแตกระแหงในฤดูแล้ง กับความรู้สึกหนาวเหน็บยามฝนพรำ เสื้อผ้าที่เก่าซีดและมีรอยปะชุน ซึ่งแตกต่างจากเพื่อนร่วมชั้นที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะ พวกเขาดูสะอาดสะอ้าน มีของเล่นแพงๆ มีชีวิตที่แตกต่างจากผมราวฟ้ากับเหว นั่นยิ่งตอกย้ำความปรารถนาในใจของผมให้แข็งแกร่งขึ้น
พ่อกับแม่เป็นชาวประมงหาเช้ากินค่ำ รายได้ไม่เคยพอจุนเจือครอบครัวใหญ่ เรามีพี่น้องห้าคน ผมเป็นคนที่สาม เสื้อผ้าที่ใส่ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้าที่ใส่ต่อมาจากพี่ชาย รองเท้าขาดๆ ที่ต้องยัดกระดาษหนังสือพิมพ์ไว้ข้างในคือเรื่องปกติที่ผมคุ้นชิน ผมจำได้ดีถึงความรู้สึกหิวโหยที่กัดกินกระเพาะอาหารในหลายๆ คืน เสียงท้องร้องที่ดังแข่งกับเสียงจิ้งหรีดในความมืดมิด มันไม่ใช่แค่ความหิว แต่เป็นความรู้สึกของ ความขาดแคลนที่แทรกซึมไปในทุกอณู ความอับอายเมื่อต้องไปโรงเรียนในชุดนักเรียนที่ซีดจางและมีรอยปะชุน ผิดกับชุดนักเรียนสีขาวผ่องของเพื่อนร่วมชั้น ความไร้หนทางเมื่อเห็นแม่ต้องก้มหน้าก้มตาเย็บแหจนดึกดื่น แสงตะเกียงน้ำมันส่องสว่างบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความเหนื่อยล้า ตาแดงก่ำด้วยความอ่อนเพลีย และพ่อที่กลับจากทะเลด้วยร่างกายที่อ่อนแรงจากการต่อสู้กับคลื่นลม แต่ก็ยังต้องมานั่งซ่อมเครื่องยนต์เรือที่เสียอยู่หน้าบ้านด้วยมือที่หยาบกร้านราวกับเปลือกไม้
"ภพเอ๊ย... ตั้งใจเรียนให้มากๆ นะลูก" แม่มักจะพูดประโยคนี้ซ้ำๆ ราวกับเป็นมนต์สะกดก่อนที่ผมจะหลับตาลงในแต่ละคืน เสียงของท่านนุ่มนวล แต่เต็มไปด้วยความหวังและความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ "ความรู้เท่านั้นที่จะทำให้เราพ้นจากความลำบากนี้ไปได้" คำพูดของแม่ฝังลึกอยู่ในใจผม มันไม่ใช่แค่คำปลอบโยน แต่มันคือคำสั่ง คือเป้าหมาย คือหนทางเดียวที่จะพาผมและครอบครัวไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า ผมไม่ได้ฉลาดปราดเปรื่องมาตั้งแต่เกิด แต่ผมมีความมุ่งมั่น ผมอ่านหนังสือทุกเล่มที่หาได้ ไม่ว่าจะเป็นตำราเรียน นวนิยายเก่าๆ ที่มีคนบริจาคให้ห้องสมุดโรงเรียน หรือแม้แต่ข่าวในหนังสือพิมพ์ที่พ่อห่อปลามาขาย ผมซึมซับทุกตัวอักษร ราวกับว่ามันคืออาหารหล่อเลี้ยงสมองที่หิวโหย ผมเชื่อว่าทุกตัวอักษรคือบันไดที่จะพาผมก้าวขึ้นไปจากชีวิตที่ยากลำบากนี้ ผมจะไม่ยอมเป็นเหมือนพ่อแม่ ผมจะไม่ยอมให้ลูกๆ ของผมต้องเผชิญกับความยากลำบากแบบนี้
ผมเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนพันท้ายนรสิงห์วิทยา ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ถือว่ามีชื่อเสียงในละแวกนั้น ผมต้องเดินเท้าไปโรงเรียนเกือบทุกวัน เพราะค่ารถโดยสารเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยที่เราไม่มีปัญญาจ่าย ผมเห็นเพื่อนร่วมชั้นหลายคนนั่งรถยนต์คันหรูมาโรงเรียน พวกเขาดูสะอาดสะอ้าน มีของเล่นแพงๆ มีชีวิตที่แตกต่างจากผมราวกับว่าอยู่กันคนละโลก นั่นยิ่งตอกย้ำความปรารถนาในใจของผมให้แข็งแกร่งขึ้น
เมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจเลือกสายการเรียน ผมไม่ลังเลเลยที่จะเลือกเรียนสายศิลป์-สังคมศาสตร์ ผมหลงใหลในวิชาสังคมศึกษา ประวัติศาสตร์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง... กฎหมาย ผมรู้สึกทึ่งในความซับซ้อนของมัน ในการที่ตัวอักษรไม่กี่ตัวสามารถกำหนดชะตาชีวิตของคนได้ มันคืออำนาจที่มองไม่เห็น อำนาจที่จะสร้างหรือทำลาย อำนาจที่จะยกชีวิตขึ้นสู่ที่สูง หรือผลักลงสู่หุบเหว ผมเริ่มฝันถึงการเป็นทนายความ ไม่ใช่แค่ทนายความธรรมดา แต่เป็นทนายความที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนได้ ทนายความที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของวงการ ผมอยากเป็นผู้ที่กุมอำนาจในการตัดสินชะตาชีวิตของผู้อื่น ไม่ใช่ผู้ที่ถูกชะตาชีวิตบงการ

3

บทที่ 2
อุดมคติที่เริ่มสั่นคลอน
หลังจากจบมัธยมปลายจากโรงเรียนสมุทรสาครบูรณะ ผมเลือกที่จะเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ไม่ใช่เพราะเป็นมหาวิทยาลัยในฝัน แต่เป็นเพราะค่าใช้จ่ายที่ถูกที่สุดและเปิดโอกาสให้ผมสามารถทำงานพิเศษไปด้วยได้ ผมรับจ้างสารพัด ทั้งเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารย่านลาดพร้าว คนงานในโรงงานน้ำแข็งแถวบ้าน หรือแม้แต่รับจ้างเขียนรายงานให้เพื่อนร่วมชั้นที่มีฐานะดีกว่าเพื่อแลกกับค่าขนมเล็กน้อย ชีวิตในแต่ละวันคือการต่อสู้ ผมต้องแบ่งเวลาเรียน ทำงาน และอ่านหนังสือจนดึกดื่นหลายคืนต่อสัปดาห์ บางครั้งก็หลับคาหนังสือไปเลยด้วยความเหนื่อยล้า กลิ่นกาแฟเข้มข้นที่ชงเองกับแสงไฟสลัวๆ จากโคมไฟข้างโต๊ะคือเพื่อนร่วมทางยามค่ำคืน มันเป็นชีวิตที่เหนื่อยล้า แต่ผมก็เชื่อว่ามันคือบันไดสู่ความสำเร็จ
การเรียนนิติศาสตร์ที่รามคำแหงเป็นเหมือนการเปิดโลกใบใหม่ให้ผม ผมดำดิ่งลงไปในตัวบทกฎหมายอย่างกระหาย ผมชอบที่จะวิเคราะห์คดี ศึกษาฎีกา และถกเถียงประเด็นทางกฎหมายกับเพื่อนๆ ในช่วงแรกผมยังคงยึดมั่นในอุดมคติของความยุติธรรม ผมเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่ากฎหมายถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องคนดี ลงโทษคนชั่ว และเป็นหลักประกันของความสงบสุขในสังคม ผมฝันถึงการเป็นทนายความผู้ผดุงความยุติธรรม เป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แห่งความยากไร้
"กฎหมายมันก็เหมือนดาบสองคมนั่นแหละภพ" อาจารย์ธนา อาจารย์วิชากฎหมายอาญาคนโปรดของผมเคยกล่าวไว้ในชั้นเรียน เสียงของท่านยังคงดังก้องอยู่ในความทรงจำ "อยู่ที่ว่าใครจะใช้มันอย่างไร ใช้เพื่อผดุงความยุติธรรม หรือใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตน" คำพูดของอาจารย์ธนาไม่ได้ทำให้ผมไขว้เขวในตอนนั้น ผมยังคงเชื่อมั่นในเส้นทางของผม ผมตั้งใจที่จะเป็นทนายความที่ซื่อสัตย์สุจริต เป็นผู้พิทักษ์ความยุติธรรมให้กับคนยากไร้และผู้ถูกกดขี่ข่มเหง ผมฝันถึงการยืนอยู่หน้าบัลลังก์ศาล ปกป้องลูกความที่บริสุทธิ์ และเห็นแสงแห่งความยุติธรรมสาดส่องลงมา ราวกับภาพวาดอันงดงามที่ผมวาดไว้ในจินตนาการ
แต่โลกแห่งความเป็นจริงนั้นโหดร้ายกว่าตำราเรียนมากนัก มันเริ่มตบหน้าผมอย่างจังด้วยความจริงที่ว่า อุดมคติที่ผมยึดมั่นนั้นช่างเปราะบางเพียงใด ผมเริ่มเห็น ช่องโหว่ของกฎหมายที่กว้างราวปากเหว เห็นความไม่เท่าเทียมกันในการบังคับใช้กฎหมายที่ทำให้ผมแทบจะหัวใจสลาย เห็นว่าคนรวยและมีอำนาจสามารถหลีกเลี่ยงความผิดได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัสกระเป๋าเงินที่พองโต ในขณะที่คนจนและไร้ทางสู้ต้องรับโทษทัณฑ์อย่างไม่เป็นธรรมราวกับเป็นชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ผมจำคดีหนึ่งที่ผมไปนั่งฟังในศาลอาญาได้ดี วันนั้นอากาศร้อนอบอ้าว ผนังศาลสีซีดจางสะท้อนความหม่นหมองในใจ มันเป็นคดีที่ชาวบ้านคนหนึ่งถูกฟ้องในข้อหาบุกรุกที่ดินเพื่อทำกิน เขาเป็นคนหาเช้ากินค่ำที่ไม่มีทางเลือกอื่น แววตาของเขาเต็มไปด้วยความหวังอันริบหรี่ ทนายความของเขาเป็นทนายอาสาที่ดูอ่อนประสบการณ์ ใบหน้าซีดเซียวและเสียงสั่นเครือ บ่งบอกถึงความไม่มั่นใจ ในขณะที่ฝ่ายโจทก์คือนายทุนใหญ่ที่มีทนายความมือฉมังหลายคน ท่าทางผึ่งผาย เต็มไปด้วยความมั่นใจ พวกเขานำเสนอหลักฐานที่ดูเหมือนจะมัดตัวชาวบ้านอย่างแน่นหนา ผมรู้ดีว่าชาวบ้านคนนั้นไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงแค่ต้องการที่ดินผืนเล็กๆ เพื่อปลูกผักเลี้ยงชีพ แต่สุดท้ายเขาก็ถูกตัดสินจำคุก ผมเห็นแววตาที่สิ้นหวังของเขาในวันนั้น มันไม่ใช่แค่ความผิดหวัง แต่เป็นความตายของความหวัง ที่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดและตั้งคำถามกับระบบยุติธรรมที่ผมเคยศรัทธา มันไม่ใช่ความยุติธรรมที่ผมใฝ่ฝันถึง
อีกครั้งหนึ่ง ผมเห็นนักธุรกิจใหญ่คนหนึ่งที่ถูกจับกุมในคดีค้ายาเสพติด ซึ่งหลักฐานแน่นหนาจนแทบจะปิดประตูตาย แต่เพียงไม่กี่วัน เขาก็ได้รับการประกันตัวออกมาอย่างง่ายดาย ผมได้ยินเสียงกระซิบกระซาบจากเจ้าหน้าที่ศาลและทนายความรุ่นพี่ว่ามีการใช้เงินจำนวนมหาศาลเพื่อ "วิ่งเต้น" กับเจ้าหน้าที่รัฐ นั่นทำให้ผมเริ่มตั้งคำถามกับอุดมคติของตัวเองอย่างจริงจัง ความรู้สึกผิดหวังเริ่มก่อตัวขึ้นเป็นก้อนแข็งในใจ ผมเริ่มคิดว่า "ถ้าความยุติธรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับความจริง แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครมีทนายความที่ดีกว่ากัน และใครมีเงินมากกว่ากันล่ะ?"
ผมเริ่มเห็นว่ากฎหมายไม่ใช่แค่เครื่องมือของความยุติธรรมในอุดมคติ แต่มันคือ เครื่องมือของอำนาจ เครื่องมือที่คนมีอำนาจและเงินตราสามารถบงการได้ตามใจชอบ และผม... กำลังจะได้เรียนรู้วิธีใช้มันอย่างแท้จริง

4

อ่านฉบับเต็ม?
คุณสามารถสั่งซื้ออีบุ๊คได้ในราคาเพียง 141 บาท ตามขั้นตอนดังนี้
1
กรุณาชำระเงิน 141 บาท โดยสแกน QR Code:
หรือโดยโอนเงินเข้าบัญชี:
บัญชีธนาคารกรุงไทย
เลขที่บัญชี 478-0-19455-5
ชื่อบัญชี นายกรัณย์ สุวัฒนวิโรจน์ / Garan Suwatanaviroj
2
แล้วส่งหลักฐานสลิปการโอนเงินของคุณ มาทางอีเมลที่ ceo@9daonua.com
3
สำนักพิมพ์จะตอบกลับและส่งลิงค์ (URL) สำหรับดาวน์โหลดอีบุ๊ค พร้อมทั้งรหัสผ่าน กลับไปยังคุณที่อีเมลของคุณ ภายใน 1 ถึง 2 วันทำการ

หากมีข้อสงสัย โปรดติดต่อ โทร. 099-345-7966 หรืออีเมล ceo@9daonua.com