ลับคมทนายความ
กรณีศึกษา และบทเรียนจากคดีจริง
วิเคราะห์คดีหุ้นกู้พิพาท
รูปคดี
บริษัท "ทรัพย์มั่นคง" (จำเลย) ได้ออกใบหุ้นกู้เพื่อระดมทุนจากประชาชน โดยไม่ได้ดำเนินการตามแบบที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ และมิได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
นายกมล (โจทก์) ซึ่งเป็นนักลงทุน ได้ซื้อหุ้นกู้ดังกล่าวไปจำนวน 5 ล้านบาท โดยได้รับใบหุ้นกู้เป็นหลักฐาน แต่เมื่อครบกำหนดไถ่ถอน จำเลยไม่ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยตามที่ระบุไว้ในใบหุ้นกู้ นายกมลจึงฟ้องเรียกเงินคืนพร้อมดอกเบี้ยตามใบหุ้นกู้
จำเลยต่อสู้ว่า "การออกหุ้นกู้ดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่แรก ทำให้หุ้นกู้นั้นตกเป็นโมฆะ ใช้บังคับกันไม่ได้ อีกทั้งใบหุ้นกู้ก็ไม่ได้ติดอากรแสตมป์ จึงไม่สามารถนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานในการฟ้องคดี นอกจากนี้เมื่อโจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกเงินคืนตามหลักลาภมิควรได้ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดแต่ประการใด"

สรุปข้อเถียงของจำเลย:
  • การออกหุ้นกู้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
  • หุ้นกู้ตกเป็นโมฆะ
  • ใบหุ้นกู้ไม่ได้ติดอากรแสตมป์
  • ไม่สามารถใช้เป็นพยานหลักฐาน
ในฐานะทนายความของนายกมล ท่านจะหักล้างประเด็นที่จำเลยตั้งขึ้นมาอย่างไร เพื่อมิให้ศาลยกฟ้อง ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่มีผลต่อการแพ้หรือชนะคดีคืออะไร?
กลยุทธ์ต่อสู้
ข้อเท็จจริง/ข้อกฎหมายที่มีผลต่อการแพ้หรือชนะคดี: ประเด็นสำคัญ คือ แม้การออกหุ้นกู้จะไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่อาจใช้บังคับในฐานะหุ้นกู้ตามกฎหมายได้ แต่หากใบหุ้นกู้มีข้อความครบถ้วนเพียงพอที่แสดงให้เห็นว่ามีการให้เงินแก่กันโดยมีข้อกำหนดให้ชำระคืนได้ ย่อมถือได้ว่าใบหุ้นกู้นั้นเป็น หลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินที่เป็นหนังสือ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง และสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในการฟ้องคดีได้ โดยไม่อยู่ในบังคับที่ต้องปิดอากรแสตมป์ เนื่องจากไม่ใช่ตราสารสัญญาตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 ดังนั้น ศาลจึงมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวได้
แนวทางปฏิบัติและคำพิพากษา
01
สิ่งที่ทนายความโจทก์ควรทำ
ทนายความควรต่อสู้ว่า แม้การออกหุ้นกู้จะไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ใบหุ้นกู้ดังกล่าวยังถือเป็น "หลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน" ที่เป็นหนังสือตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
02
หักล้างข้อต่อสู้จำเลย
และการที่จำเลยได้รับเงินไปจากโจทก์ ก็เป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามคำฟ้อง ดังนั้นโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกเงินต้นคืนตามสิทธิของผู้ให้ยืมตามสัญญากู้ยืมเงิน

หมายเหตุ - คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 745/2565
"แม้การที่จำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย เป็นเหตุให้การออกหุ้นกู้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่อาจใช้บังคับในฐานะหุ้นกู้ตามกฎหมายได้ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 1 ได้รับเงินไปจากโจทก์ และมีกำหนดเวลาการชำระคืน ถือได้ว่า สำเนาใบหุ้นกู้มีข้อความครบถ้วนเพียงพอให้รับฟังได้ว่า เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินที่เป็นหนังสือ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคหนึ่ง"
ในโลกที่กฎหมายเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และคดีความมีความซับซ้อนมากขึ้นทุกวัน
การพึ่งพาความรู้และประสบการณ์เพียงลำพังอาจไม่เพียงพออีกต่อไป!
หากท่านเป็นทนายความที่ต้องการยกระดับทักษะการทำคดี หรือต้องการคำปรึกษาเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและกลยุทธ์ หรือกำลังเผชิญกับคดีที่ซับซ้อน และต้องการความช่วยเหลือในการสืบค้นข้อกฎหมาย/แนวคำพิพากษาศาลฎีกา
อย่าลังเลที่จะติดต่อเรา!
สำนักกลยุทธ์และกฎหมาย ๙ ดาวเหนือ
เราคือทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย พร้อมให้คำปรึกษาเชิงลึก วางแผนกลยุทธ์ และช่วยท่านสร้างความได้เปรียบในทุกคดี เพื่อนำพาลูกความสู่ชัยชนะ
ติดต่อเราวันนี้ (กดที่เมนู ตรงแถบด้านบน) เพื่อเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาส และนำพาลูกความของท่านไปสู่ความสำเร็จ!
และคุณยังสามารถติดตามข่าวสารความรู้จากปรมาจารย์ด้านกฎหมาย หรือติดต่อเราได้ ในช่องไลน์ทางการ (LINE Official Account) ต่อไปนี้...
คดีบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์:
จากคดีอาญา สู่คดีแพ่ง
รูปคดี:
บริษัท "เอกชัยก่อสร้าง" (โจทก์) ได้ฟ้องนายสมศักดิ์ (จำเลย) เป็นคดีอาญา ในข้อหาบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ โดยจำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย
1
คดีอาญา
ศาลอาญาได้พิจารณาคดีและสืบพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายอย่างเต็มที่ และมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า "จำเลยมีความผิดตามฟ้อง ฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์"
2
คดีแพ่ง
หลังจากคดีอาญาถึงที่สุดแล้ว บริษัทเอกชัยก่อสร้างได้ยื่นฟ้องเป็นคดีแพ่ง ขอให้ขับไล่นายสมศักดิ์ออกจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง
3
การต่อสู้
นายสมศักดิ์ให้การต่อสู้ว่า ตนเองได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ และคดีก่อนเป็นคดีอาญา จึงยังถือไม่ได้ว่าข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์เหนือจำเลยทางแพ่ง

คำถามสำคัญ: ในฐานะทนายความของบริษัทเอกชัยก่อสร้าง ท่านจะให้คำแนะนำในการดำเนินคดีอย่างไร เพื่อมิให้นายสมศักดิ์ต่อสู้เรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้อีก? ข้อกฎหมายใดที่มีผลต่อการวินิจฉัยชี้ขาดปัญหานี้?
กลยุทธ์ต่อสู้:
ข้อกฎหมายที่มีผลต่อวินิจฉัยชี้ขาดคดี
ประเด็นสำคัญคือ หลักการที่ศาลในคดีส่วนแพ่ง ต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46
1
เงื่อนไขที่ 1
คดีแพ่งต้องเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา: คดีขับไล่ในส่วนแพ่งนี้ มีมูลกรณีมาจากการบุกรุกในส่วนอาญา จึงถือว่าเป็นคดีที่เกี่ยวเนื่องกัน
2
เงื่อนไขที่ 2
ข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาต้องเป็นประเด็นโดยตรง: การที่จำเลยต่อสู้ไว้ในคดีอาญาว่าตนเองเป็นเจ้าของที่ดิน ทำให้ประเด็นว่าใครเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท เป็นประเด็นโดยตรงที่ศาลอาญาต้องวินิจฉัย
3
เงื่อนไขที่ 3
คดีส่วนอาญาต้องถึงที่สุด: เมื่อคำพิพากษาคดีอาญาได้ถึงที่สุดแล้วว่าจำเลยบุกรุกที่ดิน (= จำเลยไม่มีสิทธิในที่ดิน) ศาลแพ่งจึงจำต้องถือข้อเท็จจริงตามนั้น
อีกทั้งในการชี้ขาดว่าจำเลยบุกรุกหรือไม่ ศาลในคดีอาญาได้เปิดโอกาสให้คู่ความสืบพยานอย่างเต็มที่ จนได้คำวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นฝ่ายบุกรุก คำวินิจฉัยย่อมชอบด้วยกฎหมายแล้ว
คำแนะนำและแนวทางปฏิบัติ
สิ่งที่ทนายความควรต่อสู้
ทนายความของบริษัทเอกชัยก่อสร้าง ควรยื่นคำร้องต่อศาลในคดีแพ่ง โดยอ้างคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว และขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 และ ป.วิ.พ. มาตรา 24 เพื่อให้ศาลถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอาญาได้วินิจฉัยจนเป็นที่ยุติไว้แล้วว่า ที่ดินเป็นของโจทก์ และจำเลยเป็นผู้บุกรุก

ผลลัพธ์: กลยุทธ์นี้จะทำให้นายสมศักดิ์ไม่สามารถยกประเด็นการครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้ได้อีก เพราะประเด็นดังกล่าวได้ถูกวินิจฉัยและถึงที่สุดไปแล้วในคดีอาญา
หมายเหตุสำคัญ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 793/2566
"ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญานั้น"
หลักการสำคัญ
"เมื่อในคดีส่วนอาญา ศาลฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสอง จำเลยทั้งสองได้บุกรุกแย่งการครอบครอง คดีแพ่งจึงต้องถือตามคดีส่วนอาญาว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่ของจำเลยทั้งสองโดยการครอบครองปรปักษ์"
ในโลกที่กฎหมายเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และคดีความมีความซับซ้อนมากขึ้นทุกวัน
การพึ่งพาความรู้และประสบการณ์เพียงลำพังอาจไม่เพียงพออีกต่อไป!
หากท่านเป็นทนายความที่ต้องการยกระดับทักษะการทำคดี หรือต้องการคำปรึกษาเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและกลยุทธ์ หรือกำลังเผชิญกับคดีที่ซับซ้อน และต้องการความช่วยเหลือในการสืบค้นข้อกฎหมาย/แนวคำพิพากษาศาลฎีกา
อย่าลังเลที่จะติดต่อเรา!
สำนักกลยุทธ์และกฎหมาย ๙ ดาวเหนือ
เราคือทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย พร้อมให้คำปรึกษาเชิงลึก วางแผนกลยุทธ์ และช่วยท่านสร้างความได้เปรียบในทุกคดี เพื่อนำพาลูกความสู่ชัยชนะ
ติดต่อเราวันนี้ (กดที่เมนู ตรงแถบด้านบน) เพื่อเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาส และนำพาลูกความของท่านไปสู่ความสำเร็จ!
และคุณยังสามารถติดตามข่าวสารความรู้จากปรมาจารย์ด้านกฎหมาย หรือติดต่อเราได้ ในช่องไลน์ทางการ (LINE Official Account) ต่อไปนี้...
คดีพิพาท: สัญญาเช่าช่วง และความรับผิดทางกฎหมาย
คู่กรณี
  • นายเอ - ผู้ให้เช่าเดิม
  • บริษัท บี จำกัด - ผู้เช่า
  • บริษัท ซี จำกัด - ผู้เช่าช่วง
สัญญาเช่าหลัก
  • เช่าอาคารสำนักงาน เป็นระยะเวลา 10 ปี
  • อนุญาตให้เช่าช่วงได้
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้เช่าช่วง
  • ระบบปรับอากาศในอาคารที่เช่า เสียเป็นเวลา 3 เดือน
  • อุณหภูมิสูงจนทำงานไม่ได้
  • ต้องย้ายพนักงานไปทำงานสถานที่อื่นชั่วคราว
รายละเอียดคดี
นายเอได้ทำสัญญาให้เช่าอาคารสำนักงานขนาดใหญ่กับบริษัท บี จำกัด เป็นระยะเวลา 10 ปี โดยสัญญาเช่าระบุเงื่อนไขชัดเจนว่า บริษัท บี จำกัด สามารถให้เช่าช่วงพื้นที่บางส่วนได้ แต่ต้องได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากนายเอก่อน
ในสัญญาเช่าหลักมีข้อกำหนดว่า นายเอมีหน้าที่ต้องซ่อมบำรุงระบบปรับอากาศของอาคารให้ใช้งานได้ดีตลอดเวลา
ต่อมา บริษัท บี จำกัด โดยได้รับความยินยอมจาก นายเอ อย่างถูกต้อง ทำสัญญาให้เช่าช่วงห้องๆ หนึ่งแก่ บริษัท ซี จำกัด เพื่อใช้เป็นสำนักงาน

ความเสียหายที่เกิดขึ้น: ระบบปรับอากาศของอาคารเสีย ใช้งานไม่ได้เป็นเวลากว่า 3 เดือน ทำให้บริษัท ซี จำกัด ได้รับความเสียหาย
ประเด็นทางกฎหมาย: บริษัท ซี จำกัด สามารถฟ้องร้อง นายเอ ให้รับผิดได้หรือไม่ เพียงใด ?
วิเคราะห์คดี
หลักกฎหมายสำคัญ
"สัญญาย่อมผูกพันแต่เฉพาะคู่สัญญาเท่านั้น"
การที่ผู้ให้เช่าเดิม (นายเอ) ให้ความยินยอมในการเช่าช่วงนั้น ไม่ได้ก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์โดยตรงระหว่างนายเอ กับบริษัท ซี จำกัด
อำนาจฟ้องของบริษัท ซี จำกัด
บริษัท ซี จำกัด ไม่มีอำนาจฟ้องนายเอโดยตรง เพราะนายเอไม่ใช่คู่สัญญา
  • สัญญาของบริษัท ซี จำกัด คือสัญญาเช่าช่วง โดยมีบริษัท บี จำกัด เป็นคู่สัญญาเท่านั้น
  • แม้นายเอจะผิดสัญญาเช่าหลัก แต่บริษัท ซี จำกัด ก็ไม่อาจฟ้องนายเอได้
การตีความ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์:
มาตรา 544
การให้ความยินยอมเช่าช่วง เป็นเพียงการป้องกันไม่ให้สัญญาเช่าช่วงถูกบอกเลิกได้
มาตรา 545
กฎหมายบัญญัติให้ "ผู้เช่าช่วง" ต้องรับผิดต่อ "ผู้ให้เช่าเดิม" โดยตรงเท่านั้น แต่ไม่อาจตีความขยายความให้เป็นในทางกลับกัน

ข้อสังเกต
ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติให้ "ผู้เช่าช่วง" ถือสิทธิใดๆ เหนือ "ผู้ให้เช่าเดิม" ได้
สัญญาเช่าหลัก
นายเอ บริษัท บี จำกัด
สัญญาเช่าช่วง
บริษัท บี จำกัด บริษัท ซี จำกัด
ไม่มีนิติสัมพันธ์
ระหว่าง นายเอ ︎กับ บริษัท ซี จำกัด
คำแนะนำทางกฎหมาย
สิ่งที่ไม่สามารถทำได้
บริษัท ซี จำกัด ไม่สามารถฟ้อง นายเอโดยตรงได้
  • เพราะไม่ใช่คู่สัญญากันโดยตรง ไม่มีนิติสัมพันธ์ระหว่างกัน
  • จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ทางเลือกที่ถูกต้อง
บริษัท ซี จำกัด ฟ้องบริษัท บี จำกัด ซึ่งเป็นคู่สัญญาโดยตรงได้
  • โดยเรียกค่าเสียหาย อ้างเหตุบริษัท บี จำกัด ผิดสัญญาเช่าช่วง
  • เพราะบริษัท บี จำกัด ไม่สามารถจัดหาพื้นที่ให้ใช้งานได้ตามปกติ
ทางเลือกในการดำเนินคดี
1
บริษัท ซี จำกัด ฟ้อง บริษัท บี จำกัด
เรียกค่าเสียหาย ตามสัญญาเช่าช่วง
2
บริษัท บี จำกัด ฟ้อง นายเอ
เรียกค่าเสียหายจากนายเอ ตามสัญญาเช่าหลัก
3
สิทธิของบริษัท บี จำกัด ในการรวมค่าเสียหาย
บริษัท บี จำกัด ย่อมสามารถรวมค่าเสียหายที่บริษัท ซี จำกัด ได้รับไว้ในคำฟ้องด้วย

การดำเนินคดีแบบนี้จึงจะเป็นช่องทางที่ถูกต้องตามกฎหมาย
อ้างถึง: คำพิพากษาฎีกาที่ 8901/2563 (ป.)
บทบาทหน้าที่ของทนายความ
ทนายความควรชี้แจงให้ลูกความเข้าใจถึงข้อจำกัดทางกฎหมายและแนวทางที่ถูกต้อง
การประสานงานระหว่างตัวความ
ควรมีการประสานงานระหว่างบริษัท ซี จำกัด และบริษัท บี จำกัด เพื่อให้การดำเนินคดีมีประสิทธิภาพ
การรวบรวมหลักฐาน
จัดเตรียมหลักฐานค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการที่ระบบปรับอากาศเสียเป็นเวลานาน
วิเคราะห์คดีป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
รูปคดี:
นายดำ ทะเลาะวิวาทกับนายขาวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง นายดำได้ชักปืนพกออกมาข่มขู่นายขาวและยิงปืนขึ้นฟ้า 1 นัด ทำให้ลูกค้าในร้านต่างแตกตื่นและวิ่งหนี นายดำเห็นท่าไม่ดีจึงเก็บปืนพกเข้าเอวแล้วรีบวิ่งไปขึ้นรถจักรยานยนต์เพื่อขับหลบหนี ขณะนั้น นายแดง ซึ่งเป็นเจ้าของร้านและเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ได้ปรี่เข้าไปกระชากคอนายดำที่กำลังสตาร์ทรถจักรยานยนต์ ทำให้รถล้มลง จากนั้นนายแดงได้ชกต่อยนายดำหลายครั้งเข้าที่ใบหน้าและศีรษะเพื่อแย่งปืน จนนายดำเลือดกลบปาก ฟันหัก ใบหน้าฟกช้ำดำเขียว

ในฐานะทนายความของนายแดง ท่านจะยกข้อต่อสู้เรื่องการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายได้หรือไม่ อย่างไร? ประเด็นเรื่อง "ภยันตราย" ยังคงมีอยู่หรือขาดตอนไปแล้ว? ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่มีผลต่อการชี้ถูกผิดในคดีนี้คืออะไร?
กลยุทธ์การต่อสู้คดี
ข้อเท็จจริง/ข้อกฎหมายที่มีผลต่อการแพ้หรือชนะคดี
ประเด็นสำคัญตาม ป.อาญา มาตรา 68 คือ "ภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายดังกล่าว ยังมิได้หมดไปเสียทีเดียว" แม้นายดำจะเก็บอาวุธปืนและกำลังจะหลบหนี แต่การที่นายดำได้กระทำความผิดด้วยการใช้อาวุธปืนข่มขู่ยิงปืนในที่สาธารณะไปก่อนแล้ว และยังคงมีอาวุธปืนติดตัวอยู่ ย่อมเป็นเหตุให้บุคคลที่อยู่ในบริเวณนั้น (รวมถึงนายแดง) เข้าใจได้ว่านายดำอาจนำอาวุธปืนไปก่อเหตุเป็นอันตรายแก่ผู้อื่นได้อีก ดังนั้น ภยันตรายจึงยังไม่หมดไปอย่างสมบูรณ์ และการกระทำของนายแดงเพื่อระงับยับยั้งการกระทำผิดและแย่งอาวุธปืน จึงถือว่าได้สัดส่วนและสมควรแก่เหตุ จึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

ประเด็นสำคัญ: ภยันตรายยังคงมีอยู่
แม้นายดำจะพยายามหลบหนี แต่การที่ยังมีอาวุธปืนติดตัวหลังก่อเหตุรุนแรง ถือว่าภยันตรายยังไม่สิ้นสุด
แนวทางการต่อสู้คดี
สิ่งที่ทนายความควรทำ
ทนายความควรต่อสู้ว่า การกระทำของนายแดงเป็นการป้องกันสิทธิของตนเองและผู้อื่นให้พ้นจากภยันตรายที่ยังคงมีอยู่ โดยอ้างว่าการที่นายดำมีอาวุธปืนติดตัวภายหลังการก่อเหตุ ทำให้เกิดความวิตกว่าจะนำไปก่อเหตุซ้ำหรือเป็นอันตรายต่อบุคคลอื่นได้อีก
หมายเหตุ: คำพิพากษาฎีกาที่สนับสนุน
คำพิพากษาฎีกาที่ 1062/2563 ระบุว่า "แม้ผู้ตายเก็บอาวุธปืน และขับรถจักรยานยนต์ กำลังจะหลบหนีออกจากร้านที่เกิดเหตุ แต่ผู้ตายมีอาการเมาสุรา และมีอาวุธปืนติดตัวอยู่ ย่อมเป็นเหตุให้บุคคลที่อยู่ในบริเวณนั้น เข้าใจได้ว่าผู้ตายอาจนำอาวุธปืนไปก่อเหตุเป็นอันตรายแก่ผู้อื่นได้ ภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายดังกล่าว ยังมิได้หมดไปเสียทีเดียว"
ประทุษร้ายโดยใช้อาวุธ
นายดำใช้อาวุธปืนข่มขู่และยิงปืนในที่สาธารณะ
พยายามหลบหนี
นายดำเก็บปืนเข้าเอว และพยายามหลบหนีด้วยรถจักรยานยนต์
ภยันตรายยังคงมีอยู่
นายดำยังคงพกพาอาวุธปืน และอาจก่อเหตุร้ายซ้ำได้อีก พฤติการณ์ถือว่าใกล้ชิดและต่อเนื่องกัน
วิเคราะห์คดีปกครอง กรณีมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม
รูปคดี:
นายแดง (ผู้ฟ้องคดี) เป็นเจ้าของบ้านพักอาศัยอยู่ติดกับโรงงานผลิตพลาสติกของบริษัท "โพลีเมอร์รุ่งเรือง" (เอกชน) ซึ่งเริ่มดำเนินการผลิตเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2566 และก่อให้เกิดกลิ่นเหม็นและควันพิษอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้นายแดงและครอบครัวเจ็บป่วยด้วยระบบทางเดินหายใจเป็นประจำ นายแดงได้มีหนังสือร้องเรียนไปยังกรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) และองค์การบริหารส่วนตำบล (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2566 เพื่อขอให้แก้ไขปัญหา แต่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม กลิ่นเหม็นและควันพิษยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบัน นายแดงตัดสินใจยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2566 เพื่อขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองดำเนินการแก้ไขปัญหาและชดเชยค่าเสียหาย
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองให้การต่อสู้ว่า คดีขาดอายุความเพราะไม่ได้ยื่นฟ้องภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือร้องเรียนแต่ยังเห็นว่าไม่ได้รับการเยียวยาแก้ไขตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 49

ในฐานะทนายความของนายแดง ท่านจะเตรียมข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอย่างไร เพื่อให้ศาลปกครองรับคำฟ้องของนายแดงไว้พิจารณา? คดีนี้ขาดอายุความหรือไม่? และท่านจะแก้ข้อต่อสู้ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองอย่างไร?
กลยุทธ์การต่อสู้คดีมลพิษต่อเนื่อง
ข้อเท็จจริงสำคัญ
"เหตุเดือดร้อนรำคาญยังคงมีอยู่จนถึงวันฟ้องคดี" (กลิ่นเหม็นและควันพิษยังคงมีอยู่) และผู้ถูกฟ้องคดีมีหน้าที่ตามกฎหมายในการแก้ไขความเดือดร้อนรำคาญนั้น
ผลกระทบต่อสาธารณะ
"การไม่ปรับปรุงแก้ไขโรงงานอาจมีผลกระทบต่อสุขภาพและอนามัยของประชาชนจำนวนมาก" (นายแดงและครอบครัวเจ็บป่วยด้วยระบบทางเดินหายใจ)
ข้อกฎหมายสำคัญ
กรณีที่เหตุแห่งการฟ้องคดีเป็น "การกระทำหรืองดเว้นการกระทำอันเป็นการต่อเนื่อง" ศาลปกครองอาจใช้ดุลยพินิจรับคำฟ้องไว้พิจารณาได้ตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ มาตรา 52 วรรคสอง
แนวทางการแก้ข้อต่อสู้
ทนายความควรบรรยายฟ้องให้ชัดเจนว่าความเดือดร้อนเสียหาย (กลิ่นเหม็นและควันพิษ) นั้น ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่โรงงานเริ่มดำเนินการจนถึงวันที่ยื่นฟ้องคดี และได้มีการร้องเรียนขอให้แก้ไขแล้วแต่ผู้ถูกฟ้องคดีละเลยการปฏิบัติหน้าที่ นอกจากนี้ ควรอ้างเหตุผลตามมาตรา 52 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 โดยเน้นว่าปัญหาดังกล่าวก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนอย่างร้ายแรงและต่อเนื่อง และการรับคำฟ้องไว้พิจารณาจะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมอย่างยิ่ง เพื่อให้ศาลใช้ดุลยพินิจรับคำฟ้องไว้ได้ โดยไม่มีอายุความ

อ้างอิงคำพิพากษา: คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 503/2545 (ป.)
วิเคราะห์คดีห้างร้านกาแฟ (แพ่ง)
รูปคดี:
นายปรีชา, นายวิชาญ, และนางสาวสมศรี ได้ตกลงร่วมกันเปิดร้านกาแฟ "สดใสคาเฟ่" โดยไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลและไม่มีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรที่ระบุรายละเอียดการแบ่งกำไรชัดเจน (ลักษณะเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน) นายปรีชาได้ลงทุนเงินไป 500,000 บาท และนายวิชาญกับนางสาวสมศรีเป็นผู้ดำเนินการหลัก หลังจากเปิดร้านได้ 2 ปี นายปรีชาพบว่านายวิชาญและนางสาวสมศรีไม่ได้จัดสรรเงินกำไรให้ตามสัดส่วนที่นายปรีชาเข้าใจ และไม่ยอมคืนเงินลงทุนให้นายปรีชา นายปรีชาจึงยื่นฟ้องนายวิชาญและนางสาวสมศรีต่อศาลเพื่อถอนตนเองจากห้างหุ้นส่วน แล้วขอให้นายวิชาญและนางสาวสมศรีคืนเงินลงทุน 500,000 บาท และแบ่งส่วนกำไรที่ค้างชำระ โดยไม่ติดใจหากว่านายวิชาญและนางสาวสมศรีจะดำเนินกิจการร้านกาแฟต่อไป

ในฐานะทนายความของนายวิชาญและนางสาวสมศรี ท่านจะให้คำแนะนำในการต่อสู้คดีอย่างไร ท่านจะตัดฟ้องโจทก์ได้หรือไม่? ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่มีผลต่อการแพ้หรือชนะคดีคืออะไร และท่านควรจะต่อสู้หรือแก้ข้อต่อสู้อย่างไร?
กลยุทธ์ต่อสู้:
ข้อเท็จจริง/ข้อกฎหมายที่มีผลต่อการแพ้หรือชนะคดี:
ข้อกฎหมายสำคัญคือหลักการของห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1012 และกระบวนการชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนตาม มาตรา 1055 ถึง 1063 เมื่อห้างหุ้นส่วนมีลักษณะเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน การที่หุ้นส่วนคนหนึ่งต้องการเรียกเงินลงทุนคืนหรือขอส่วนแบ่งกำไร จะต้องดำเนินการ "ขอให้มีการเลิกห้างหุ้นส่วนเพื่อชำระบัญชี" ก่อน โดยจะต้องนำทรัพย์สินของห้างมาคิดบัญชี ชำระหนี้สินของห้าง และแบ่งคืนเงินลงทุนกับกำไรที่เหลือตามสัดส่วนที่ตกลงกันไว้ (หากมี) การที่นายปรีชาฟ้องเรียกเงินลงทุนและส่วนแบ่งกำไรโดยไม่ได้ขอให้เลิกกิจการและชำระบัญชี ถือว่าเป็นการฟ้องที่มีคำขอบังคับไม่ชอบด้วยกฎหมาย นายปรีชาไม่มีอำนาจฟ้อง

หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
  • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1012 : หลักการของห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน
  • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1055-1063 : กระบวนการชำระบัญชีห้างหุ้นส่วน
แนวทางการต่อสู้คดี
สิ่งที่ทนายความควรทำ
ทนายความของนายวิชาญและนางสาวสมศรี ควรยกข้อต่อสู้เรื่อง "โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง" โดยชี้แจงต่อศาลว่าคดีนี้เป็นเรื่องของห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน ซึ่งตามหลักกฎหมายแล้ว หากต้องการเรียกเงินลงทุนหรือส่วนแบ่งกำไร จะต้องดำเนินการเลิกห้างหุ้นส่วนและชำระบัญชีให้แล้วเสร็จก่อน มิฉะนั้นแล้วโจทก์จะไม่มีอำนาจฟ้องโดยตรงได้ และขอให้ศาลยกฟ้องโจทก์เพราะเหตุไม่มีอำนาจฟ้อง
ข้อต่อสู้สำคัญในคำให้การ
ยกข้อต่อสู้เรื่อง "โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง" เนื่องจากไม่ได้ขอให้เลิกห้างหุ้นส่วนและชำระบัญชีก่อน
อ้างอิงแนวฎีกาไว้ในคำให้การด้วย
คำพิพากษาฎีกาที่ 3688/2567
วิเคราะห์คดียักยอกทรัพย์ (อาญา)
รูปคดี:
บริษัท "สินทรัพย์รุ่งเรือง" (โจทก์ร่วม) เป็นเจ้าของเครื่องจักรกลขนาดใหญ่ ได้ว่าจ้างนายสมคิด (จำเลย) ซึ่งเป็นตัวแทนอิสระ ให้ดำเนินการนำเครื่องจักรดังกล่าวไปส่งมอบให้แก่บริษัท "ก่อสร้างมั่นคง" (ผู้รับมอบ) ตามสัญญาซื้อขาย เมื่อบริษัท "ก่อสร้างมั่นคง" ได้รับมอบเครื่องจักรแล้ว ได้โอนเงินค่าเครื่องจักรจำนวน 10 ล้านบาท ให้แก่นายสมคิด เพื่อให้นายสมคิดนำเงินดังกล่าวไปส่งมอบให้แก่บริษัท "สินทรัพย์รุ่งเรือง" แต่นายสมคิดกลับนำเงินไปใช้ส่วนตัวและไม่ส่งมอบเงินให้โจทก์ร่วม ต่อมา บริษัท "สินทรัพย์รุ่งเรือง" ทราบเรื่อง จึงได้ร้องทุกข์และเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ฟ้องนายสมคิดในข้อหา "ยักยอกทรัพย์" โดยอ้างว่านายสมคิดได้ยักยอกเครื่องจักรกลที่ได้ส่งมอบไปนั้น

ในฐานะทนายความของนายสมคิด ท่านจะให้คำแนะนำลูกความในการต่อสู้คดีข้อหายักยอกทรัพย์เครื่องจักรกลนี้อย่างไร? ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่มีผลต่อการแพ้หรือชนะคดีคืออะไร?
กลยุทธ์ต่อสู้:
ประเด็นการครอบครองทรัพย์
ต่อสู้ว่านายสมคิดไม่ได้ครอบครองเครื่องจักรในลักษณะที่จะยักยอกได้ เนื่องจากได้ส่งมอบให้บริษัท "ก่อสร้างมั่นคง" เรียบร้อยแล้ว
ความแตกต่างของทรัพย์
ชี้แจงว่าทรัพย์ที่ถูกกล่าวหาว่ายักยอก (เครื่องจักร) กับทรัพย์ที่นำไปใช้ส่วนตัว (เงิน) เป็นคนละประเภทกัน
องค์ประกอบความผิดไม่ครบ
อธิบายว่าการกระทำของนายสมคิดไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานยักยอกเครื่องจักร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352
ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่มีผลต่อคดี
ข้อเท็จจริง/ข้อกฎหมายที่มีผลต่อการแพ้หรือชนะคดี: ประเด็นสำคัญคือองค์ประกอบความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ซึ่งกำหนดว่าผู้กระทำความผิดจะต้อง "ครอบครอง" ทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย และเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต
ในคดีนี้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่านายสมคิดเป็นเพียงตัวแทนในการนำเครื่องจักรไปส่งมอบให้แก่บริษัท "ก่อสร้างมั่นคง" เมื่อเครื่องจักรถูกส่งมอบและบริษัท "ก่อสร้างมั่นคง" ได้รับไปแล้ว การครอบครองเครื่องจักรจึงได้โอนไปยังบริษัท "ก่อสร้างมั่นคง" ทันที นายสมคิดจึงไม่ได้เป็นผู้ครอบครองเครื่องจักรของโจทก์ร่วมในลักษณะที่จะสามารถเบียดบังเอาเครื่องจักรนั้นไปได้ การกระทำของนายสมคิดที่เบียดบังเงินค่าเครื่องจักรไปนั้น เป็นการยักยอกเงิน ไม่ใช่ยักยอกเครื่องจักร ดังนั้น องค์ประกอบความผิดฐานยักยอกทรัพย์เครื่องจักรจึงไม่ครบถ้วน
แนวทางการดำเนินคดี
ยื่นคำให้การ
ทนายความควรต่อสู้ว่าจำเลย (นายสมคิด) ไม่ได้กระทำความผิดฐานยักยอกทรัพย์เครื่องจักรกล เนื่องจากไม่ครบองค์ประกอบความผิดในส่วนของการ "ครอบครองทรัพย์" ที่ถูกกล่าวหาว่ายักยอก
ชี้แจงข้อเท็จจริง
โดยชี้ให้เห็นว่าจำเลยเป็นเพียงผู้ส่งมอบเครื่องจักรตามคำสั่งของโจทก์ร่วม และการครอบครองเครื่องจักรได้โอนไปยังผู้รับมอบทันทีที่ส่งมอบแล้ว จำเลยจึงไม่มีอำนาจเบียดบังเครื่องจักรนั้นได้
อ้างคำพิพากษาฎีกา
การที่จำเลยนำเงินค่าเครื่องจักรไปใช้ส่วนตัวนั้น เป็นการกระทำความผิดในส่วนของ "เงิน" ซึ่งเป็นทรัพย์อีกประเภทหนึ่ง ไม่ใช่ "เครื่องจักร" ที่โจทก์ร่วมฟ้องยักยอก หากโจทก์ร่วมประสงค์จะดำเนินคดี ควรฟ้องในข้อหายักยอกเงิน หรือข้อหาอื่นที่เกี่ยวข้องกับการเบียดบังเงินไปโดยทุจริต แทนที่จะเป็นยักยอกเครื่องจักร

อ้างถึง คำพิพากษาฎีกาที่ 4320/2567
ข้อคิดในเชิงศีลธรรมและจรรยาบรรณทนายความ
คดีนี้ ทนายความทราบว่า จำเลยกระทำความผิดจริงโดยยักยอกเงินของโจทก์ แต่คำฟ้องของโจทก์มีข้อบกพร่องทางกฎหมาย จนอาจทำให้ศาลยกฟ้องได้ สถานการณ์เช่นนี้ก่อให้เกิดข้อถกเถียงทางศีลธรรมและจรรยาบรรณสำหรับทนายความผู้ว่าความให้จำเลย
จรรยาบรรณทนายความ
  • ทนายความมีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายและรักษาความยุติธรรมในกระบวนการยุติธรรม
  • รักษาความลับและปกป้องผลประโยชน์สูงสุดของลูกความ ภายใต้กฎหมายและจรรยาบรรณวิชาชีพ
  • ไม่ควรช่วยเหลือในการกระทำผิดหรือบิดเบือนความจริง แต่การใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายไม่ใช่การบิดเบือน
หน้าที่ของทนายความ
  • หน้าที่หลักของทนายความคือการเป็นตัวแทนลูกความอย่างซื่อสัตย์และเต็มความสามารถ โดยไม่คำนึงถึงความเชื่อส่วนตัวเกี่ยวกับความผิด
  • ทนายความมีหน้าที่นำเสนอข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อลูกความต่อศาล
  • การใช้ข้อบกพร่องของโจทก์เพื่อประโยชน์ของจำเลยลูกความ ถือเป็นกลยุทธ์ทางกฎหมายที่ถูกต้องตามหลักการต่อสู้คดีอาญาในระบบกล่าวหา เพราะภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์
ความขัดแย้งทางจริยธรรม
  • เกิดความขัดแย้งระหว่าง ข้อเท็จจริงที่ทนายความรับทราบ (ว่าจำเลยกระทำความผิด) กับ ข้อบกพร่องทางกฎหมายของคำฟ้อง (ฟ้องโจทก์บกพร่อง)
  • หลักการ "จำเลยบริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าผิด" เป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการยุติธรรมอาญา ทนายความมีหน้าที่ทำให้แน่ใจว่าโจทก์ได้พิสูจน์ความผิดของจำเลยอย่างครบถ้วนตามกฎหมายและข้อเท็จจริง
  • ทนายความไม่สามารถโกหก หรือสร้างหลักฐานเท็จได้ แต่มีสิทธิที่จะไม่นำเสนอข้อเท็จจริงที่เสียเปรียบลูกความ หากไม่ใช่หน้าที่ทางกฎหมายที่ต้องเปิดเผย
  • การที่ทนายความชี้ข้อบกพร่องในฟ้องโจทก์ ถือเป็นหน้าที่ตามกฎหมาย เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมถูกต้องและเป็นธรรมตามหลักนิติธรรม